Interview: คุยกับนาย Luke Lu, Vice President, LONGi Solar มุมมองต่อธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์และพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาคเอเชีย
ติดตามคำตอบของนาย Luke Lu, Vice President ของ LONGi Solar ในมุมมองต่อธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์และพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาคเอเชีย
ถาม ตอนนี้ การดำเนินงานของ LONGi ทั่วโลกกว้างไกลขนาดไหนในด้านการผลิตและการส่งสินค้า และในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมาการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกเป็นอย่างไรบ้าง?
ตอบตลาดของ LONGi ตอนนี้ครอบคลุมทั้งโลก เรามีบริษัทลูกในประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย ยุโรป ทวีปอเมริกา และตะวันออกกลาง และมีทีมงานในประเทศที่ลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเป็นจิกกะวัตต์หลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และปากีสถาน อย่างไรก็ตาม แม้โรงงานผลิตเวเฟอร์ แผงโซลาร์เซลล์ และโมดูลของเราส่วนมากตั้งอยู่ในประเทศจีน แต่เรายังมีโรงงานในมาเลเซียและเวียดนาม และมีแผนตั้งโรงงานที่ต่างประเทศเพิ่มในอนาคตอันใกล้
สำหรับในปี 2563 นี้ ทีมงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทำผลงานได้ดีมาก เนื่องจากความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งในอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้
แน่นอนว่าการเกิดโรคระบาดโควิด-19 มีผลกับผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึง LONGi โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ลูกค้ามีทั้งยกเลิกหรือเลื่อนการลงทุน แต่เราก็ยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าและพันธมิตร เพื่อทำทุกวิถีทางให้โครงการเดินหน้าต่อได้ เรามั่นใจมากว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะพื้นตัวได้เนื่องจากมาตรการของรัฐบาล ตั้งแต่อินเดีย ญี่ปุ่น และในอีกหลายๆ ประเทศ เราเชื่อว่าในปีหน้าทั่วทั้งภูมิภาคจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่และการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
ในด้านการผลิต ในปีนี้กำลังการผลิตเวเฟอร์ monocrystalline ทั่วโลกจะสูงถึง 75 GW และกำลังการผลิตโมดูลจะเป็น 30 GW เราคาดว่าจะส่งมอบ เวเฟอร์ monocrystalline ได้ 58 GW (รวมถึงที่ทำใช้เอง) และส่งมอบโมดูลได้ 20 GW ซึ่งจะทำให้ LONGi เป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราต้องขอบคุณลูกค้าและพันธมิตรสำหรับความเชื่อมั่น การสนับสนุนและความมั่นใจของพวกเขาและเรามุ่งมั่นที่จะทำให้ดีขึ้นในปี 2564
ถาม:ตลาดเอเชียแปซิฟิก แตกต่างจากภูมิภาคอื่นๆ ในด้านการเติบโตของธุรกิจอย่างไร? และธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายๆ ประเทศ เช่น อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย มีการเติบโตอย่างไรบ้าง?
ตอบ: ภูมิภาคนี้แตกต่างจากทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาในด้านการเติบโตของธุรกิจ วัฒนธรรม และนโยบายของรัฐบาล ภายในภูมิภาคเองก็มีความหลากหลาย แต่ละประเทศมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าและรูฟท็อปในเวียดนามเติบโตสูงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี ในขณะที่ในออสเตรเลียการเติบโตมาจากธุรกิจที่อยู่อาศัยและโครงการ C&I ซึ่งต่างจากในหลายๆ ประเทศ อินโดนีเซียเองก็เริ่มจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และเราเชื่อว่ามันจะเป็นเช่นนั้นในไม่ช้า
ส่วนอินเดียยังเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าปีนี้จะมีอุปสรรคบ้างแต่ LONGi ก็มั่นใจว่า อินเดียจะเดินหน้าลงทุน และ LONGi เองก็จะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ในอินเดียเราร่วมงานกับโรงไฟฟ้า IPP (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่) และบริษัท EPC (บริษัทวิศวกรรมออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้า) รายใหญ่ทุกราย เช่น Adani RaNew Mahindra และยังส่งสินค้าให้กับโครงการของบริษัทอินเดียที่อยู่ในออสเตรเลียอย่าง Starling & Wilson
ถาม: คุณคิดอย่างไรกับข้อพิพาททางการค้า เพราะมีหลายประเทศเริ่มตั้งข้อจำกัดการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับ แผงโซลาร์เซลล์ ตอนนี้อะไรคือความท้าทายและความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมนี้
ตอบ: เราเห็นประโยชน์ของการค้าเสรีต่อเศรษฐกิจโลก ประเทศจีนเองก็สนับสนุนกระแสโลกาภิวัตน์ในฐานะสมาชิกองค์การการค้าโลก แม้ว่าบางประเทศได้ตั้งข้อจำกัดในการนำเข้าสินค้าเกี่ยวกับแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งส่งผลกระทบกับทั้งผู้ผลิตอย่างเราและลูกค้านักลงทุนและบริษัท EPC แต่ LONGi ก็จะหาหนทางเพื่อให้ลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เรายังได้ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับรัฐบาลในหลายประเทศเพื่อแก้ไขอุปสรรคในหนทางที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
นอกจาก อุตสาหกรรมนี้จะได้รับผลกระทบอย่างมากจากโรคโควิด-19 แล้ว ความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่ต้องใช้ เช่น ซิลิคอนและกระจก ยังเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง โดยปัญหาที่ผู้ผลิตทั่วโลกต้องประสบคือการขาดแคลนกระจกและวัสดุอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การช่วยเหลือลูกค้าได้ดีขึ้น เราได้ปรับปรุงระบบ SCM ทำให้การจัดส่งสินค้าให้กับผู้จัดจำหน่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งนับเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะในหลายๆ โครงการของลูกค้ามีเส้นตายในการดำเนินงาน เมื่อใดที่เราประสบปัญหาเราก็จะแจ้งลูกค้าแต่เนิ่นๆ และสื่อสารกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อหาทางลดผลกระทบให้น้อยที่สุด
ถาม: คุณคิดว่าเทรนด์เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์อะไรที่กำลังมาแรงที่สุดในปี 2563 และคิดว่าอุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และภาพรวมด้านต้นทุนและประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไร
ตอบ: ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 2563 คือการเปิดตัวมาตรฐานเวเฟอร์ M10 ขนาด 182 มม. และโมดูลในซีรีส์ Hi-MO 5 ของเรา ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อโครงการขนาดใหญ่ Hi-MO 5 ทำจาก monocrystalline wafer ขนาด 182 มม. เคลือบธาตุแกลเลียม และประกอบด้วยเทคโนโลยีบัดกรีอัจฉริยะ ทำให้ต้นทุนความสมดุลของระบบไฟฟ้าต่ำที่สุดสำหรับโรงไฟฟ้าบนพื้นดิน โดยโมดูล 72C ให้ไฟฟ้าสูงถึง 540 วัตต์และประสิทธิภาพสูงกว่าร้อยละ 21 Hi-MO 5 ลดต้นทุนความสมดุลของระบบไฟฟ้าได้ US$1.2 เซนต์ต่อวัตต์ เทียบกับโมดูลทั่วไปขนาด 410 วัตต์ (ที่ประกอบจากเวเฟอร์กระแสหลักขนาด 158.75 มม.) และลดไปมากกว่า US$0.35 เซนต์ต่อวัตต์ เทียบกับโมดูลขนาด 495 วัตต์ (ที่ประกอบจากเวเฟอร์ขนาด 210 มม.) ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่ออายุโครงการโรงไฟฟ้า (LCOE) ต่ำลง เป็นประโยชน์สูงสุดกับโครงการขนาดใหญ่
ใน 2-3 ปีข้างหน้า เราคาดว่า Hi-MO 5และเวเฟอร์ขนาดมาตรฐาน 182 มม. จะกลายเป็นสินค้ากระแสหลัก และตอนนี้เราก็กำลังทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ในด้านต้นทุนต่อคุณประโยชน์ เพื่อทำการผลิตเพื่อการค้า
แสงอาทิตย์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนต่ำที่สุด อีกทั้งปัจจุบันต้นทุนการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ได้ลดต่ำลงอย่างมาก และกลายเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่สุดแม้ว่าจะไม่มีการอุดหนุนจากรัฐ เราเชื่อว่านวัตกรรมจะทำให้ต้นทุนต่ำลงไปอีก และเราพูดได้เลยว่าแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคตอันใกล้
ถาม: โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำและโครงการผสมระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์และลมมีโอกาสเติบโตได้แค่ไหนในภูมิภาคนี้
ตอบ: ผมเชื่อว่าทั้งสองอย่างจะเติบโตได้อย่างมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ เนื่องจากตอนนี้การหาและซื้อที่ดินเพื่อทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เริ่มยากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ไม่มีพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างอินเดีย ดังนั้นการสร้างโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำในทะเลสาบ แม่น้ำ และชายฝั่งทะเล น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
ส่วนโครงการพลังงานผสมก็น่าจะเติบโตได้อย่างมากเหมือนกัน เนื่องจากระบบสายส่งได้พัฒนาไปมากและความต้องการพลังงานแสงอาทิตย์ก็เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์และเครื่องเก็บกักพลังงานเติบโตมากในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ และญี่ปุ่น และน่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในอีกหลายประเทศ เช่นอินเดีย ตอนนี้ LONGi ก็กำลังทำงานกับพันธมิตรในเรื่องนี้
ถาม: เป้าหมายและภาพรวมของบริษัทในปี 2564
ตอบ: LONGi มั่นใจอย่างมากในการที่เราจะช่วยลดมลภาวะของโลกในปี 2564 เราคาดหวังว่าการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์จะเติบโตต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั่วโลกมีการคาดการณ์ว่าจะมีการนำส่งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 20 GW ซึ่งตอนนี้เราก็ดำเนินการได้ตามเป้าหมาย และสิ้นปีนี้ก็จะกลายเป็นผู้นำในการผลิต เราทุ่มเททรัพยากรและอื่นๆ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเป็นสองเท่าในปี 2564 และเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมาย LONGi จะลงทุนสร้างโรงงานเพิ่ม เพิ่มประสิทธิภาพของระบบ SCM และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เราอยากให้มั่นใจว่าสินค้าและระบบของเราจะสร้างคุณค่าสูงสุดให้กับลูกค้า