เครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ กระจายกำลังเดินสายยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เร่งรัดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน โดยนำแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เร่งออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าตามขั้นตอนโดยเร็ว หวั่นการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีพลังงานทำโครงการสะดุด ระบุที่ผ่านมาเกษตรกรและชาวบ้านเร่งรวมตัวตั้งวิสาหกิจชุมชนและปรับพื้นที่เพาะปลูกรวมเกือบ 2 แสนไร่ เพื่อเตรียมเข้าร่วมโครงการแล้ว
วันที่ 24 ก.ค.2563 ตัวแทน”เครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้สนใจเข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” จำนวน 14 คน ที่มีนางสาววลัญช์รัช พรกิจจานนท์ เป็นประธานเครือข่ายฯ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือที่ทำนียบรัฐบาล,กระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทย เพื่อเร่งรัดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ ให้เดินหน้าตามกระบวนการอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เมื่อวานนี้ ( 23 ก.ค.2563 ) เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน รวม 10 แห่ง จาก ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นำโดย นายสุรเชษฐ์ ภูมิศรีแก้ว ประธานวิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และ ม.ร.ว. วรากร วรวรรณ ในฐานะประธานที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชน กลุ่มรักษ์ช้างรักษาป่าตะวันออกได้เข้ายื่นหนังสือต่อตัวแทนของ นายวิษณุ เครืองาม ( ผู้รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ) ที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เช่นเดียวกัน
น.ส.วลัญช์รัช พรกิจจานนท์ ประธานเครือข่ายฯที่เดินทางมายื่นหนังสือในวันนี้ (24 ก.ค.2563 ) กล่าวว่า มีการตั้งเครือข่ายฯ ขึ้นเมื่อเดือนต.ค. 2562 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่สมาชิก ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดยปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศกว่า 200 กลุ่มวิสาหกิจ รวม 6,981 คน
ทั้งนี้วิสาหกิจแต่ละแห่งต่างให้ความสนใจโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนกันมาก เนื่องจากหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงจากการมีโรงไฟฟ้าชุมชนและสามารถนำผลผลิตทางการเกษตรขายให้กับโรงไฟฟ้าได้ต่อเนื่องระยะยาว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ผลักดันนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนได้ลาออกไป ทางกลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจต่างๆ เริ่มมีความกังวลว่ารัฐบาลจะเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อหรือไม่ เนื่องจากวิสาหกิจแต่ละแห่งได้เริ่มเตรียมความพร้อมเข้าร่วมโครงการ ทั้งจัดเตรียมพื้นที่เพาะปลูกกันไว้รวมประมาณ 179,000 ไร่ และรวมตัวกันให้ได้ 200 ครัวเรือนเพื่อให้ตรงข้อกำหนดการเป็นวิสาหกิจชุมชน เอาไว้พร้อมแล้ว โดยหากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนไม่ถูกสานต่อจากรัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ จะทำให้ความหวังของเกษตรกรที่จะมีรายได้ที่มั่นคงจากการมีโรงไฟฟ้าชุมชนหมดลงไปด้วย
ดังนั้นเครือข่ายฯ จึงเป็นตัวแทนเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อเร่งรัดให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ระยะยาวต่อเกษตรกรและชุมชน โดยหลังจากยื่นหนังสือในครั้งนี้แล้ว ทางเครือข่ายฯจะพิจารณาต่อไปว่าจะเข้ามายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ด้วยหรือไม่ต่อไป
ที่มา: Energy News Center
วันที่ : 24 ก.ค. 2563