“สนธิรัตน์” มั่นใจแหล่งก๊าซเอราวัณ-บงกชจะผลิตได้ต่อเนื่อง โดย ปตท.สผ.และพันธมิตรจะสามารถเข้าพื้นที่ได้ตามแผนหลัง ครม.ได้อนุมัติกรอบรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ และบงกชแล้ว พร้อมลุ้นผู้ประกอบการแหล่งเอราวัณถอนฟ้องอนุญาโตตุลาการ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยแหล่งเอราวัณ และบงกชที่จะสิ้นสุดสัมปทานปี 2565-66 มั่นใจว่าผู้ผลิตรายใหม่ซึ่งเป็น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) และพันธมิตรที่ชนะการประมูลจะสามารถเข้าผลิตได้ต่อเนื่องได้ทันที ที่กำลังผลิตรวม 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 มีนาคม 63 เห็นชอบกรอบการส่งมอบสิ่งติดตั้งหรือแท่นผลิตปิโตรเลียมของแหล่งเอราวัณและบงกชตามที่คณะกรรมการปิโตรเลียมเสนอแล้ว
“ทั้งหมดเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ว่าจะต้องวางแนวทางล่วงหน้าก่อนหมดอายุสัมปทานเป็นเวลา 2 ปี โดยหลังจากนี้ผู้รับสัมปทานก็จะต้องทำแผนรายละเอียดการรื้อถอนเสนอมายังกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ รวมทั้งเรื่องการวางหลักประกันตามที่กฎหมายกำหนด ซื่งทำให้การส่งมอบงานแก่ผู้ผลิตรายใหม่คือ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. และพันธมิตร จะเป็นตามแผนและไม่ทำให้การผลิตสะดุด” นายสนธิรัตน์กล่าว
ส่วนกรณีราคาก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจีในตลาดโลกต่ำมากตามทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกในระยะนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้น ก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานได้ขอให้ บมจ.ปตท.เจรจากับผู้ผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยเพื่อลดกำลังผลิตที่จะยืดอายุสำรองก๊าซฯ ในประเทศให้นานขึ้น และให้นำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้นขณะนี้ ได้เน้นย้ำให้ ปตท.เร่งดำเนินการขอคำตอบ คาดว่าคงจะสรุปผลในเร็วๆ นี้
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานคณะกรรมการปิโตรเลียม กล่าวว่า ได้รายงาน ครม.ว่า เชฟรอนฯ ในฐานะผู้ดำเนินการแหล่งเอราวัณได้แจ้งเรื่องการส่งมอบแท่นผลิตแก่รัฐในแหล่งเอราวัณ มี 191 แท่น โดยรัฐจะเก็บไว้ใช้ประโยชน์ราว 142 แท่น และเชฟรอนต้องรื้อถอน 49 แท่น ส่วนแหล่งบงกช ทาง ปตท.สผ.จะส่งมอบให้รัฐ 50 แท่น รัฐเก็บไว้ในประโยชน์ 46 แท่น และ ปตท.สผ.ต้องรื้อถอนราว 4 แท่น ซึ่งหลัง ครม.มีมติอย่างเป็นทางการแล้วกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะแจ้งแก่ผู้ได้รับสัมปทานทั้ง 2 แหล่งเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายต่อไป
“เมื่อ ครม.อนุมัติกรอบการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแล้ว และหารือเรื่องรายละเอียดของแผนรื้อถอนเสร็จสิ้น ก็เชื่อว่าผู้ประกอบการแหล่งเอราวัณคงจะถอนฟ้องอนุญาโตตุลาการ แต่ทางกระทรวงฯ ก็วางแผนหากเจรจาไม่จบก็ขอใช้งบกลางฯ ในการว่าจ้างสำนักงานกฎหมาย 450 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้ในการฟ้องร้องต่อไป” นายกุลิศกล่าว
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า เมื่อได้มติ ครม.อย่างเป็นทางการแล้ว ทางกรมฯ จะทำหนังสือถึงผู้ประกอบการสัมปทานทั้ง 2 แหล่งให้ทำแผนรายละเอียดการรื้อถอน ซึ่งจะมีวงเงินประมาณการค่าใช้จ่ายการรื้อถอน โดยทางกรมฯ จะส่งให้บุคคลที่สามเข้ามาประเมินมูลค่าการรื้อถอนทั้งแท่นและท่อต่างๆ เพื่อให้ได้ราคาที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยกระทรวงฯ ก็ต้องนำเสนอรายงาน ครม.อีกรอบ ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบทั้งหมดแล้วจึงแจ้งให้ผู้ประกอบการรื้อถอนและต้องวางเงินหลักค้ำประกันภายใน 120 วัน โดยหากทุกอย่างราบรื่นคาดต้องใช้เวลา 5-6 เดือนกระบวนการเริ่มรื้อถอนก็จะเร็วสุดภายในเดือนกันยายน 2563
รายงานข่าวแจ้งว่า มูลค่าประเมินการรื้อถอนจะอยู่ที่ราว 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อแท่น ทั้ง 2 แหล่งจะรื้อถอนรวม 53 แท่น ซึ่งต้องใช้วงเงินรื้อถอนราว 12,000 ล้านบาท
ที่มา : Energy News Center
วันที่ : 1 เม.ย. 2563